การตรวจหาไวรัส
1. การสแกนโดยใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัส (ตัวสแกนเนอร์) เช่น McAfee , Norton AntiVirus , Trend Micro ฯลฯ โดยมีการตรวจสอบรายชื่อไวรัสจากฐานข้อมูล ไวรัส มีข้อดีคือ เราสามารถตรวจสอบข้อมูลที่มาใหม่ได้ทันทีว่าติดไวรัสหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก แต่มีจุดอ่อนคือ
a. ฐานข้อมูลที่เก็บรายชื่อไวรัส จะต้องทันสมัยอยู่เสมอ และครอบคลุมไวรัสทุกตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เนื่องจากโปรแกรมตรวจหาไวรัสจะไม่สามารถ ตรวจจับไวรัสที่ไม่มีในฐานข้อมูลได้
b. ยากที่จะตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิก เนื่องจากไวรัสประเภทนี้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้จึงทำให้ฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้สามารถตรวจสอบได้ก่อนที่ไวรัสจะ เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้น
c. เนื่องจากไวรัสมีตัวใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ ๆ ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องหาสแกนเนอร์ ตัวที่ใหม่ที่สุดมาใช้
d. มีไวรัสบางตัวเข้าไปติดในโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นถูกอ่าน และถ้าสมมติว่าสแกนเนอร์ที่ใช้ไม่สามารถตรวจจับได้ และถ้าเครื่องมีไวรัสนี้ติดอยู่ เมื่อมีการเรียกสแกนเนอร์ขึ้นมาทำงาน สแกนเนอร์จะเข้าไปอ่านโปรแกรมทีละโปรแกรม เพื่อตรวจสอบ ผลก็คือจะทำให้ไวรัสตัวนี้เข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมทุกตัวที่ถูกสแกนเนอร์นั้นอ่านได้
e. สแกนเนอร์รายงานผิดพลาดได้ คือ ฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้บังเอิญไปตรงกับที่มีอยู่ในโปรแกรมธรรมดาที่ไม่ได้ติดไวรัส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ฐานข้อมูล ไวรัส ที่ใช้มีขนาดสั้นไปก็จะทำให้โปรแกรมดังกล่าวใช้งานไม่ได้อีกต่อไป
คำแนะนำและการป้องกันไวรัส
1. สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
2. สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากแผ่นดิสก์
3. ป้องกันการเขียนให้แผ่นดิสก์
4. อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
5. เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสและมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
6. เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วง ๆ
7. สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดดิสก์ลงเก็บใน Resource อื่น เช่น แผ่นดิสก์ , CD ฯลฯ
8. เตรียมแผ่นดิสก์หรือแผ่น CD ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสขึ้นมาทำงานได้
9. เมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น